General News
• ธ.กลางยุโรป (ECB) เตรียมเจรจากับ IMF เรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลือสเปน 3 แสนล้านยูโร ระยะเวลา 3 ปี ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสเปนเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมลง โดยสเปนจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เข้มงวดเพื่อลดงบรายจ่ายและปฏิรูปเศรษฐกิจ
• หนี้สินภาคธนาคารพาณิชย์ของสเปนที่ต้องจ่ายคืนให้ ECB เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าใน 1 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นหนี้ ECB 3.887 แสนล้านยูโรในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 3.5% จาก 3.755 แสนล้านยูโรในเดือน ก.ค.
นอกจากนี้ หนี้ของรัฐบาลสเปนยังแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 75.9% ของ GDP ในไตรมาส 2 ของปีนี้อีกด้วย เนื่องจากรัฐบาลต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนช่วยเหลือยูโรโซน เพื่อนำมาเพิ่มทุนให้กับภาคธนาคารในประเทศ
• กรีซ ยืนยันว่า ยังไม่ต้องการได้รับมาตรการช่วยเหลือครั้งที่ 3 หลังจากที่ นสพ. Wall Street Journal รายงานว่า กรีซต้องการความช่วยเหลือรอบ 3 จากเจ้าหนี้ยุโรปเพราะไม่สามารถลดยอดขาดดุลได้ และบรรลุเงื่อนไขเพียง 22% ของมาตรการช่วยเหลือรอบ 2
• นักเศรษฐศาสตร์จาก Bank of Americal เชื่อว่าการที่ FED ประกาศใช้มาตรการ QE3 ผ่านการซื้อตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำ (MBS) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนอย่างไม่มีข้อจำกัดนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่า FED จะใช้เครื่องมือทุกแนวทางเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างเต็มที่ จนกว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ในระดับไม่เกิน 7% และอาจเพิ่มปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลมากยิ่งขึ้นหลังมาตรการ Operation Twist จบลงสิ้นปีนี้ นอกเหนือไปจากการซื้อ MBS ใน QE3 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของแรงงาน
• Michael Woodford นักเศรษฐศาสตร์การเงินเผยถึงมาตรการ QE3 ของ FED ทั้งการขยายระยะเวลากำหนดอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ และการใช้เงินซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ว่าจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ แม้ว่าเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าวจะยังไม่มีความชัดเจนก็ตาม
นอกจากนี้ การใช้เงินเพื่อเข้าซื้อ MBS จะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนลง และมีผลต่อเศรษฐกิจได้โดยตรงมากกว่ามาตรการก่อนหน้านี้ที่เน้นการซื้อพันธบัตรระยะยาวอย่างเดียว
• ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) สหรัฐ เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.6% เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนี CPI ในรอบ 12 เดือน สิ้นสุด ณ เดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 1.7% ซึ่งต่ำกว่าที่ FED ตั้งเป้าไว้ที่ 2% ทำให้ลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และทำให้ FED ยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่างต่อเนื่อง
• หนังสือพิมพ์ไชน่า ซิเคียวริตีส์ เจอร์นัล ของจีน รายงานว่า ความพยายามของสหรัฐในการหนุนเศรษฐกิจของประเทศผ่านการซื้อพันธบัตรรอบใหม่ อาจไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากตลาดในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ยากลำบากเมื่อเทียบกับในอดีต
• นักท่องเที่ยวชาวจีนอาจลดลง 20% หลังมีข้อพิพาทเรื่องหมู่เกาะเตียวหยูระหว่างญี่ปุ่นกับจีนอีกครั้ง ส่งผลให้บริษัททัวร์จีนหลายแห่งยกเลิกทัวร์ไปญี่ปุ่นทั้งหมด เพื่อแสดงความไม่พอใจ
• ญี่ปุ่นจะนำความขัดแย้งเรื่องพรมแดนมาหารือในที่ประชุมสามัญของ UN ท่ามกลางความตึงเครียดที่เลวร้ายลงของญี่ปุ่นกับจีนและเกาหลีใต้ โดยจะเรียกร้องให้นานาชาติแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนภายใต้กฎหมาย และหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากประเทศที่ได้รับผลจากการแผ่อิทธิพลทางทหารของจีนซึ่งรวมไปถึง ฟิลิปปินส์ สหรัฐ และ เวียดนาม
• S&P เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของเกาหลีใต้ขึ้น 1 อันดับ มาอยู่ที่ A+ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ แต่ต่ำกว่าของจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ ซาอุดิอาระเบีย 1 อันดับ
• เกาหลีใต้มีจำนวนชั่วโมงในการทำงานต่อสัปดาห์ที่เฉลี่ย 44.6 ชั่วโมง สูงที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) แต่รายได้เฉลี่ยต่อปีไม่ได้สอดคล้องกับจำนวนช่วโมงทำงานที่ยาวนาน
• ธ.กลางอินโดนีเซีย คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.75% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 หลังอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม และเศรษฐกิจยังจำเป็นต้องกระตุ้น
• อินเดียอนุญาตให้นักลงทุนต่างประเทศลงทุนในอุตสาหกรรมค้าปลีกและการบินได้ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวและช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ซึ่งน่าจะช่วยเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับการลงทุนในอินเดีย และเป็นผลดีต่อการไหลเข้าของเงินทุนและเงินสกุลรูปี
• กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ระบุว่า มาตรการ QE3 ของ FED จะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่เชื่อว่า ธปท.จะดูแลปัญหาดังกล่าวได้ โดยการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เข้ากับสถานการณ์
นอกจากนี้ ก.คลัง ยังสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ และช่วยลดแรงกดดันไม่ให้บาทแข็งค่าเกินไปจนกระทบภาคการส่งออก
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,276.12 จุด เพิ่มขึ้น 18.43 จุด หรือ 1.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 57,212 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,145.79 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE3) ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
• ตลท. คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น หลังเยอรมนีสามารถจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพแห่งภูมิภาคยุโรป (ESM) และ FED ประกาศใช้มาตรการ QE3 ซึ่งช่วยลดความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้สภาพคล่องของเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นอาเซียนโดยเฉพาะไทยก็จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย ขณะที่ปัจจัยที่ต้องระวังคือภัยธรรมชาติ ที่อาจส่งผลให้เกิดเงินไหลออกได้เช่นเดียวกัน
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงในช่วงระหว่าง -0.04% ถึง 0.00% โดยพันธบัตรรุ่นอายุ 3-15 ปี ปรับลดลงในช่วง -0.01% ถึง -0.04% ส่วนรุ่นอายุตั้งแต่ 15-30 ปี อัตราผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง 0.00% ถึง -0.02%
• ธปท. เชื่อว่า เงินบาทในขณะนี้ปรับตัวสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค และธปท.พร้อมจะเข้าดูแลเงินบาทหากมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ทั้งนี้ สกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแข็งค่าขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกรอบใหม่ของFED ประกาศใช้ ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและการส่งออกของเอเชียสดใสขึ้น
Gold Corner
• Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮด์จฟันด์ ให้สัมภาษณ์ผ่าน CNBC ว่า ทองคำถือเป็นสกุลเงินอย่างหนึ่งและเป็นสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุนที่ดีที่สุด แม้ว่าปริมาณทองคำที่มีจะยังไม่สามารถรองรับความต้องการของนักลงทุนเพื่อใช้เป็นสกุลเงินเพื่อการซื้อขายสินค้าก็ตาม
Guru Corner
• Paul Krugman “แม้ FED จะใช้มาตรการที่ดีและชัดเจนขึ้น แต่มันยังไม่เพียงพอ”
• Nouriel Rubini ”ตลาดที่ขึ้นทั้งจากข่าวดีและข่าวร้าย ไม่ใช่ตลาดที่มั่นคงเลย”
• Jim Rogers ”QE1 QE2 ล้มเหลวหมด แล้ว FED ก็ทำโง่ๆ อีกด้วยการออก QE3”
• Peter Schiff ”ตราบใดที่ FED ยังคงออก QE อยู่ เศรษฐกิจที่ถดถอยหรือตกต่ำก็จะยิ่งแย่ลง”
• Marc Faber ”ถ้าผมแย่อย่าง Ben Bernanke ผมจะรีบลาออกทันที เพราะนโยบาย QE ที่ออกมานั้นมันจะทำให้ตลาดดีขึ้นชั่วคราว แล้วจะตามมาด้วยความหายนะ นี่เป็นแนวโน้มที่อันตรายยิ่ง และผมจะยังคงขอต่อสู้กับรัฐบาลต่อไปในทุกระดับ ทุกเวที ทุกโอกาส เท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งรัฐบาลมีขนาดใหญ่เท่าใดก็จะยิ่งบิดเบือนระบบได้เท่านั้น”
“ผู้สั่งพิมพ์เงินออกมาต้องรับผิดชอบในความหายนะที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรายังใช้แนวทางนี้อีก เราจะไม่เจอเพียง Fiscal Cliff แต่มันจะเข้าขั้น Fiscal Grand Canyon นอกจากนี้ QE ที่ออกมาแบบไม่มีขีดจำกัด และมาตรการซื้อ MBS กับการต่ออายุ Operation Twist จะทำให้ราคาสินทรัพย์และโภคภัณฑ์สูงขึ้นโดยที่ความมั่งคั่งที่จะเกิดขึ้นนั้นมันจะไหลไปยัง Mayfair Economy (ภาวะที่คนร่ำรวยเท่านั้นที่มีโอกาสได้จากราคาสินทรัพย์ลงทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่คนยากจนจะยิ่งยากจนลงไปเพราะราคาสินค้าจำเป็นที่แพงขึ้น) QE จะให้ประโยชน์แก่คนรวย แต่คนเดินถนน ทั่วไปจะยิ่งลำบาก เศรษฐกิจโดยรวมจะถูกทำร้ายโดย QE หากอยากจะช่วยคนส่วนใหญ่บนท้องถนน ก็ควรส่งเช็คไปให้ทุกครอบครัวแห่งละเป็นหลักล้านดอลลาร์จะดีกว่าออก QE"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น