ภาวะเศรษฐกิจสิงหาคม 2555
วิกฤติหนี้ของประเทศกลุ่มยุโรปและปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศกลุ่มยูโรโซน หรือสหรัฐฯ ที่ออกมาค่อนข้างอ่อนแอ และยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังมีอยู่จากการที่ภาครัฐไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางยุโรปหรือธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้นได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีได้วินิจฉัยว่า เยอรมนีสามารถลงสัตยาบันรับรองสนธิสัญญาจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) และสนธิสัญญากำหนดกฎเกณฑ์ด้านงบประมาณได้ ซึ่งจะเป็นกลไกระยะยาวที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะ และช่วยให้ประเทศเหล่านั้นสามารถจัดการกับปัญหาการคลังของตนเองได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE3) โดยประกาศว่าจะเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Mortgage backed securities, MBS) จำนวน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนโดยไม่มีกำหนด และยืดระยะเวลาคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำพิเศษที่ 0-0.25% ไปอีกจนถึงกลางปี 2558 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการจ้างงานในสหรัฐฯ
การออกมาตรการต่างๆ ของภาครัฐนั้นสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มาก อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามต่อไปว่า มาตรการเหล่านี้จะส่งผลได้มากน้อยเพียงใดต่อภาคเศรษฐกิจจริง เพราะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาวนั้นจะพึ่งแต่นโยบายการเงินอย่างเดียวไม่ได้ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างต่างๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน และนั่นจะต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยส่งผลต่อภาคการส่งออกและการผลิตเพื่อส่งออก แต่ด้านอุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่องแม้จะการชะลอตัวลงบ้างหลังจากที่เร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า ซึ่งการบริโภคในประเทศทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนนั้นจะเป็นตัวผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ซึ่งจากตัวเลขยอดขอการส่งเสริมการลงทุนของ BOI พบว่า การลงทุนภาคเอกชนที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงแต่การลงทุนเพื่อฟื้นฟูจากน้ำท่วม ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งทำให้ภาคอุปสงค์ในประเทศสามารถชดเชยผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปได้ ทางธปท.ได้ประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2555 อยู่ที่ 5.7%
ภาวะตลาดทุนเดือนสิงหาคม 2555
เดือนสิงหาคม ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยผลบวกของให้ส่งสัญญาณการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งภาครัฐของฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ และปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจในประเทศไทยยังมีแนวโน้มค่อนข้างดี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง และราคาหุ้นไทยโดยภาพรวมนั้นยังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน ทำให้ยังมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวทางการลงทุนในระยะต่อไปนี้ นักวิเคราะห์ของ บลจ.บัวหลวง ยังเชื่อมั่นในแนวทางการลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว (Bottom-up approach) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ถึงแม้จะมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางประเทศต่างๆ แต่เรายังเชื่อว่า ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มความต้องการภายในประเทศที่แข็งแกร่ง น่าจะเติบโตได้ยั่งยืนและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจกว่าในระยะยาว เราจึงยังคงเน้นการลงทุนไปในหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจไทยหรือภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก (AEC Theme) เช่น กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มธนาคาร เป็นต้น
ภาวะตราสารหนี้ประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2555
มูลค่าการซื้อขายลดลงเล็กน้อยจากเดือนกรกฏาคม นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อดูทิศทางอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดบางส่วนคาดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้น่าพอใจแล้วจึงควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนกระทั่งสิ้นปี ส่วนอีกฝ่ายยังคงกังวลในความเสี่ยงของตลาดโลกที่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงได้ จึงควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
วันที่ 5 กันยายนมีการประชุมคณะกรรมการ กนง. โดยที่ประชุมมีมติให้ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3 ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าแม้พื้นฐานทางเศรษฐกิจในประเทศจะยังคงแข็งแรงและขยายตัวอย่างน่าพอใจ แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกก็ยังคงกดดันเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง จึงคงอัตราดอกเบี้ยและจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
โดยจากรายงานของ ThaiBMA ในเดือนสิงหาคม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปีปรับตัวลดลง -1 ถึง -6 bps อัตราผลตอบแทนช่วง 2 ปี ถึง 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1 ถึง +11 bps และอัตราผลตอบแทนอายุคงเหลือมากกว่า 10 ปีขึ้นไปเปลี่ยนแปลงในช่วง -5 ถึง +13 bps
แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในเดือนกันยายนนั้น อัตราผลตอบแทนคาดว่าจะมีความผันผวนจากการประกาศตารางประมูลพันธบัตรรัฐบาลสำหรับปีงบประมาณ 2556 ที่คาดว่าจะมีปริมาณการเสนอขายมากกว่าปีก่อนหน้า และนักลงทุนต่างรอความชัดเจนของตลาดโลก โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3 ของสหรัฐ และรายละเอียดการเข้าซื้อพันธบัตรในยูโรโซนของ ECB
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น