หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย 26/5/57

หุ้นไทยปิดร่วง 8.37 จุด อยู่ที่ 1,396.84 จุด รีบาวน์จากช่วงเช้าที่ร่วงกว่า 30 จุด จับตาการเมือง คาดสัปดาห์หน้าแกว่งแคบ 1,380-1,420 จุด ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,396.84 จุด ลดลง 8.37 จุด(-0.60%)มูลค่าการซื้อขาย 53,516.32 ล้านบาท โดยแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,397.29 จุด และดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,375.41 จุด
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง(BLS)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เทรดคล้ายคลึงกับข้อมูลในอดีตจากที่มีการรัฐประหารในไทยมา 2 ครั้งแล้วในรอบ 20 ปี แต่รอบนี้นักลงทุนถือเงินสดไว้พอควร ทำให้ในแง่ของการปรับตัวของดัชนีฯจึงน้อยกว่า 2 ครั้งในอดีตที่มีค่าเฉลี่ยของการปรับตัวลงประมาณ 4%
"วันนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไม่มาก เพราะนักลงทุนในประเทศต่างจ้องซื้ออยู่แล้วเมื่อตลาดฯปรับตัวลง เพราะนักลงทุนมีการเตรียมเงินสดไว้ลงทุนพอควร ดังนั้นวันนี้แรงขายของนักลงทุนในประเทศจึงไม่มาก แต่จะเป็นการขายของนักลงทุนต่างชาติมากกว่า"นายชัยพร กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังต้องรอดูรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ด้วย ว่าจะเป็นใครบ้าง
แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายชัยพร กล่าวว่า ตลาดฯคงจะยังแกว่งตัวไม่มาก เพราะยังเฝ้ารอดูรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อยู่ ซึ่งปกติกว่าจะรู้ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ถ้ารับทราบในช่วงสุดสัปดาห์นี้จะยิ่งดี จะช่วยส่งให้ตลาดฯปรับตัวขึ้นได้
พร้อมให้แนวรับ 1,380 จุด แนวต้าน 1,410-1,420 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,079.22 ล้านบาท ปิดที่ 189.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,536.15 ล้านบาท ปิดที่ 233.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,000.51 ล้านบาท ปิดที่ 157.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,959.59 ล้านบาท ปิดที่ 184.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,929.58 ล้านบาท ปิดที่ 185.50 บาท ลดลง 4.50 บาท
ตอนนี้เราขอเช็คทีละส่วนก่อนนะครับ เราจะเริ่มด้วยพื้นฐาน เมื่อเปรียบเทียบราคาคลาดกลับพื้นฐานของบริษัทแต่ละตัวนั้น พบว่าหุ้นแต่ละตัวเริ่มปรับเข้าสู่ภาวะจุดุลยภาพของแต่ละตัวนะครับ คืองี้ส่วนใหญ่ การที่หุ้นจะขึ้นลงมันขึ้นอยู่กับ expectation กับ Grwoth% ซึ่งที่ผ่านมาพื้นฐานปรับเปลี่ยนทุก 3 เดือน ครั้งนี้ก็เช่นกัน ราคาขึ้นลงตามพื้นฐาน มีความผันผวนลดลง (unsystematic risk) ความเสี่ยงเฉพาะตัว  ผมเชื่อว่า downside risk มีจำกัดแต่สำคัญคือการเลือกหุ้นที่ถูกต้อง เวลาเหมาะสม
เราเริ่มมาดูกันต่อที่ Macro ภาพรวมของเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาก่อนมีการรัฐประหาร งบประมาณต่างๆๆหยุดชะงักส่งผลหลายบริษัทมีการขยายตัวมี่หยุดชะงัก มีปัญหาชุมนุมดารเมืองยืดเยื้อ คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เงียบๆซึมๆ  ทั้งตัว C และ G ไม่เติบโต การลงทุนจากประเทศ ในนิคมต่างๆๆ ชะลอลงด้วยการรอ BOI ส่งผลให้ I ก็ลดอีก เชื่อไหมว่า เรามี unemployment rate สูงขึ้นทั้งๆที่มันน้อยมากอยู่แล้ว และปัญหาจำนำข้าว (ขณะนี้จะมีงบประมาณออกมาช่วยชาวนาราว 90,000 ล้านบาท) จะทำให้เงินไหลกลับเข้าระบบ ชาวนาพวกนี้เป็นคนขับเครื่องประเทศชั้นดีระดับนึง เมื่อเรามาดูส่วนของ export ที่ผ่านมาเราก็หวังกับส่วนนี้พอสมควร หวังว่าจะช่วยให้ GDP เราไม่ติดลบ อันนี้คือสิ่งที่ผ่านมา อนาคตเมื่อเริ่มมีงบประมาณ มีรัฐบาล มีการขับเคลื่อนของส่วนต่างๆทำให้เงินไหลเข้ามาแล้วเกิด multiply ไปเรื่อยๆ 
เรามาดูทางต่างชาติบ้างที่ผ่านมา ต่างชาติต้องขายออกตามนโยบายของการลงทุน ที่ต้องลดสัดส่วนของการลงทุนลงในประเทศที่โดนยึดอำนาจ อย่าลืมนะครับช่วงต้นปีต่างชาติดาหน้าซื้อ่างแต่ตลาด 1200 จุดในขณะที่ประเทศเรายังไร้ทิศทาง แสดงเค้ามองว่าตลาดเราถูกเกินไปและอนาคตเมื่อกลับมาสภาวะปกติ ประเทศนี้จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี เมื่อ 3 วันที่ผ่านมาต่างชาติขายออกมาร่วม 10000 กว่าล้านบาท ทำให้ downside risk มีลดลง 
เห็นไหมครับว่าเราเจอคำว่า downside risk  มันไม่ได้แปลว่าไม่ลงนะครับ มันแปลว่าลงแล้วให้ซื้อครับ แนะซื้อหุ้นพื้นฐานชั้นดี ทยอยจัดหลายไม้รับ  AEONTS SIM CPF GFPT MINT SPCG BTS AMATA HEMRAJ SCC JAS แล้วเมื่อนโยบายเริ่มชัดเจน ตัวต่อไปจะทยอยมานะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น