General News
----------------
• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 0.50% ตามที่ตลาดคาด โดย มาริโอ ดรากิ ประธาน ECB กล่าวว่า เป็นเพราะแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่เศรษฐกิจและตลาดแรงงานในยูโรโซนยังคงอ่อนแอ ทั้งนี้ ECB ได้ลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้และปีหน้าลง โดยจะหดตัวลง 0.3% ในปี 2556 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.5%
• ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือน เม.ย.ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 46.7 จุด จาก 46.8 จุดในเดือน มี.ค. แสดงว่ากิจกรรมภาคการผลิตในภูมิภาคยังหดตัวต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ของเยอรมนีลดลง 2 เดือนติดต่อกันจาก 49 จุดมาอยู่ที่ 48.1 จุด ส่วนดัชนี PMI ของฝรั่งเศส อิตาลี และ สเปน ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย
• ก.พาณิชย์สหรัฐ รายงานว่า ยอดขาดดุลการค้าเดือน มี.ค.ลดลง 11% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 3.88 หมื่นล้านดอลลาร์ อันเป็นการลดลง 2 เดือนติดต่อกัน เนื่องจากนำเข้าลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 โดยลดลง 2.8% มาอยู่ที่ 2.23 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ส่งออกลดลง 0.9% มาอยู่ที่ 1.84 แสนล้านดอลลาร์
• ก.แรงงานสหรัฐ รายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ล่าสุดปรับตัวลง 18,000 ราย มาอยู่ที่ 324,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ตรงข้ามกับที่ตลาดคาดว่ายอดตัวเลขจะเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐได้รายงานว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่ม 119,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่ง
• ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Manufacturing) ของสหรัฐในเดือน เม.ย.อยู่ที่ 50.7 จุด ลดลงจากเดือน มี.ค.ที่เป็น 51.3 จุด ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และแย่กว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย สะท้อนว่าการขยายตัวของภาคการผลิตในสหรัฐยังเปราะบางอยู่มาก โดยดัชนีย่อยบ่งชี้ว่า การจ้างงานในภาคการผลิตลดลง แต่ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
• ดอยช์แบงค์ ประเมินว่าอัตราว่างงานของสหรัฐจะลดลงถึงระดับ 6.5% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายของ FED ได้ก่อนปี 2558 และจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งแรกของปี 2558 เป็นผลจากสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และการที่สัดส่วนประชากรที่เป็นกำลังแรงงานในสหรัฐกำลังลดลงอย่างช้าๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยปัจจุบันสัดส่วนประชากรที่เป็นกำลังแรงงานของสหรัฐอยู่ที่ 63.3% ลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2551
• ธนาคาร RBS ประเมินว่าโอกาสที่ FED จะลดปริมาณการซื้อสินทรัพย์ลงในระยะเวลาอันใกล้มีค่อนข้างต่ำ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในถ้อยแถลงของ FED เมื่อคืนวานก่อนได้กล่าวว่า FED จะเปลี่ยนนโยบายการเข้าซื้อสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับข้อมูลทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์คงทนของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนสหรัฐยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตต่อไปได้
• ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) กล่าวว่า มีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวต่อไปอีก เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศ โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะขยายตัว 6.6% ในปีนี้และ 6.7% ในปีหน้า และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ 8.2% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 7.8% ในปีที่แล้ว
• ธนาคาร HSBC รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือน เม.ย. ลดลงเหลือ 50.4 จุด เมื่อเทียบกับเดือนก่อนซึ่งเป็น 51.6 จุด โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 สะท้อนว่าธุรกิจภาคการผลิตในจีนชะลอตัวลง แต่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป
• ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ไทยในปีนี้เป็น +5.1% จากเดิม +4.9% ด้วยแรงหนุนสำคัญจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและโครงการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตรา 8% และการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ 4.5% แม้ว่าการส่งออกจะเติบโตลดลงเหลือ 7.1% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้7.5%
นอกจากนี้ ยังประเมินว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้อีก โดยคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 25.50-29.00 บาท/ดอลลาร์ ในสิ้นปีนี้
• ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการ ธปท. กล่าวว่า ธปท.อาจเสียหายนับล้านล้านบาทก่อนสิ้นปีนี้ หากยังไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาแก้ไขปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติ โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มีความแตกต่างจากต่างประเทศเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งอาจะทำให้เศรษฐกิจไทยอาจเกิดภาวะวิกฤติเหมือนในอดีต
Equity Market
-----------------
• SET Index ปิดที่ 1,589.19 จุด ลดลง 8.67 จุด หรือ -0.54% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 56,862 ล้านบาท โดยดัชนีได้ปรับตัวลดลงในภาคบ่ายซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องปลดผู้ว่าฯ ธปท. ในห้องค้า ซึ่งโบรกเกอร์มองว่าหากเป็นจริงก็จะลดความน่าเชื่อถือในการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ หุ้นที่มีผลให้ดัชนีปรับตัวลดลง ได้แก่ CPALL (มีความผันผวนในช่วงสัปดาห์ก่อนหลังข่าวการเข้าซื้อหุ้น MAKRO มีผลตอบรับจากนักลงทุนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบแตกต่างกันมาก) หุ้นกลุ่มสื่อสาร (ราคาปรับขึ้นมามาก) และหุ้น RATCH (นักลงทุนผิดหวังจากการที่ไม่เข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า IPP)
สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม
----------------------------------------
ล้านบาท
นักลงทุนสถาบัน -1,977.83
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +4.89
นักลงทุนต่างชาติ -151.86
นักลงทุนทั่วไป 2,124.80
Fixed Income Market
------------------------
• พันธบัตรรัฐบาลไทยให้อัตราผลตอบแทนลดลงทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะรุ่นที่อายุคงเหลือต่ำกว่า 25 ปีที่มีอัตราผลตอบแทนลดลงค่อนข้างมาก โดยเปลี่ยนแปลงระหว่าง -0.05% ถึง -0.01%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น