หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ข่าวเช้าจากบัวหลวง 7/5/56

General News

• คณะกรรมาธิการยุโรปปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปี 2556 ลงเป็น -0.4% จากเดิม +0.3% ซึ่งจะทำให้ยูโรโซนเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันหลังจาก GDP ในปีก่อนหดตัวลง 0.6% ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯยังคาดว่า อัตราการว่างงานในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.2% จาก 11.4% ในปีก่อน

• รมว.คลังของฝรั่งเศส กล่าวว่า ยุคของมาตรการรัดเข็มขัดได้จบลงแล้ว หลังจากเยอรมันนียินยอมให้ยืดระยะเวลาอีก 2 ปีสำหรับแผนควบคุมการขาดดุลงบประมาณที่ 3% ต่อ GDP

• นาย Oskar Lafontaine อดีตรมว.คลังเยอรมันนีช่วงก่อตั้งสหภาพยุโรป เรียกร้องให้ยกเลิกการรวมกลุ่มสหภาพยุโรป เนื่องจากเห็นว่า การรวมกลุ่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้สถานการณ์ต่างๆย่ำแย่ลง และการแยกสหภาพยุโรปจะช่วยให้ประเทศที่กำลังมีปัญหาสามารถฟื้นตัวได้ ทั้งนี้ นาย Oskar Lafontaine ยังเห็นว่า อีกไม่นานประเทศที่กำลังมีปัญหา(รวมถึงฝรั่งเศส)ที่ถูกเยอรมันนีบีบบังคับให้ดำเนินการรัดเข็มขัดจะเริ่มรวมกันต่อต้านมาตรการดังกล่าว

• ธนาคารกลางสเปน ระบุว่า หนี้สินภาคครัวเรือนของสเปนในเดือนมี.ค.อยู่ที่ 8.20 แสนล้าน ยูโร ลดลง 4.48% จากปีก่อน ถือเป็นหนี้สินระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2550 โดย 77% ของหนี้ครัวเรือนเป็นหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้ปรับลดลง 3.06% เหลือ 6.33 แสนล้านยูโร ขณะที่หนี้สินภาคบริษัทปรับลดลง 10.5% สู่ระดับ 1.12 ล้านล้านยูโร อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสเปนยังยืนยันว่า ชาวสเปนยังคงไม่สามารถหาเงินมาชำระคืนหนี้สินได้แม้ภาระหนี้สินจะลดลง เนื่องจากค่าแรงเฉลี่ยที่ลดลง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น

• ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสเปนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56.7 ในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 12.8% จากปีก่อน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต่ำกว่า 100 จุด บ่งชี้ถึงมุมมองเชิงลบของผู้บริโภค

• นายกรัฐมนตรีโปรตุเกส เปิดเผยว่า รัฐบาลมีเป้าหมายปรับลดข้าราชการลง 30,000 ตำแหน่ง รวมถึงการปรับลดอายุของผู้มีสิทธิ์รับเบี้ยบำนาญเต็มจำนวนลงเป็น 66 ปี และอาจจะเพิ่มเวลาทำงานของข้าราชการจากเดิม 35 ชั่วโมงเป็น 40 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการลดงบประมาณรายจ่าย โดยโปรตุเกสหวังที่จะลดงบประมาณรายจ่ายลง 6,000 ล้านยูโร ภายในปี 2559

• ดัชนี PMI ภาคบริการของอังกฤษในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 52.9 เพิ่มขึ้นจาก 52.4 ในเดือนก่อน โดยดัชนี PMI ของอังกฤษอยู่ในระดับสูงกว่า 50 จุดติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีและบ่งชี้ว่า ภาคบริการของอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะขยายตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ที่ขยายตัวค่อนข้างขัดแย้งกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ที่ลดลงแตะระดับ -27 เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปีก่อน จากฐานะการเงินภาคครัวเรือนที่ย่ำแย่

• การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่ง จาก 138,000 ตำแหน่งในเดือนก่อน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 145,000 ตำแหน่ง ทำให้อัตราว่างงานปรับลดลงมาอยู่ที่ 7.5% จากระดับ 7.6% ในเดือนก่อน โดยเป็นการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจบริการเช่น ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และการดูแลสุขภาพ

• ดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐในเดือนเม.ย. ลดลงแตะระดับ 53.1 จากระดับ 54.4 ในเดือนก่อน โดยดัชนีที่อยู่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการของสหรัฐยังอยู่ในภาวะขยายตัว

• ประธานธนาคารกลางสหรัฐสาขาริชมอนด์แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐ เนื่องจากเห็นว่า การซื้อพันธบัตรไม่อาจจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเกินกว่า 2% ได้ และยังทำให้การจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นในอนาคต

• ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นแสดงความพร้อมในการอธิบายแก่ประเทศอื่นๆในเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน โดยการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอาจจะส่งผลกระทบด้านลบต่อประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งรวมถึงกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าจำนวนมาก และความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ แต่ยืนยันว่า สัญญาณของปัญหาดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้

• ดัชนี PMI ภาคบริการของจีนในเดือนเม.ย. ลดลงมาอยู่ที่ 54.5 จุด จาก 55.6 จุดในเดือนก่อน โดยดัชนีที่อยู่ระดับสูงกว่า 50 แสดงว่า อุตสาหกรรมภาคบริการของจีนยังขยายตัว แต่เริ่มมีแนวโน้มการชะลอตัวลง สอดคล้องกับดัชนี PMI ล่าสุดที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน ทำให้เริ่มมีความกังวลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2

• ผอ.สำนักนโยบายการเงินฮ่องกง กล่าวว่า ฮ่องกงกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่จากหนี้สินภาคครัวเรือนในระดับสูง โดยหนี้สินภาคครัวเรือนขยายตัวในระดับที่สูงกว่าการขยายตัวของ GDP จนทำให้มีระดับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 61% ของ GDP ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัวลงหลังจากมีการออกมาตรการควบคุมการเก็งกำไรในเดือนก.พ. แต่ทางการยังคงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด

• GDP ของอินโดนีเซียในไตรมาสแรกขยายตัว 6.02% เป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากการชะลอตัวของการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศยังคงขยายตัวได้อย่างดี

• พรรคบีเอ็นของนาย นาจิบ ราซัก ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งของมาเลเซีย ด้วยจำนวนที่นั่งในสภา 133 ที่นั่ง จากทั้งหมด 222 ที่นั่ง โดยชัยชนะในครั้งนี้จะทำให้นายนาจิบ ราซักได้กลับเข้าบริหารประเทศต่ออีก 5 ปี

• ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ยังไม่มีแผนควบคุมเงินทุนในขณะนี้ โดยเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการหรือไม่

• รมว.คลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% และกำลังกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศให้สามารถหลุดพ้นจากกับดับรายได้ระดับปานกลางให้ได้

Equity Market


• SET Index เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดที่ 1,578.95 จุด ลดลง 10.24 จุด หรือ -0.64% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 43,910 ล้านบาท โดยดัชนีเคลื่อนไหวอย่างผันผวนและปรับตัวลดลงในช่วงบ่าย จากแรงขายทำกำไรหลังดัชนีไม่สามารถผ่านระดับ 1,600 จุดได้ รวมทั้งยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนและยุโรปหลังตัวเลขเศรษฐกิจที่เปิดเผยออกมายังคงอ่อนแอ

• นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังสนใจในเรื่องผลตอบแทนเป็นส่วนใหญ่ และตลาดทุนฝั่งเอเชียยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนโดยเฉพาะตลาดทุนของไทย

• ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,752.02 จุด เพิ่มขึ้น 57.25 จุด หรือ +3.38% เป็นการตอบรับข่าวการกลับเข้าบริหารประเทศอีกครั้งของนายนาจิบ ราซัค หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม

กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท
นักลงทุนสถาบัน -905.45
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -19.22
นักลงทุนต่างชาติ -1,194.29
นักลงทุนทั่วไป 2,118.96

Fixed Income Market


• อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง -0.02% ถึง -0.01% ในช่วงอายุต่ำกว่า 20 ปี ขณะที่ช่วงอายุสูงกว่า 20 ปีปรับเพิ่มขึ้น 0.01% จากความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง.ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยอายุ 1, 3, และ 6 เดือน มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท

• ธนาคารกลางอินเดียปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 7.50% โดยเป็นการปรับลดครั้งที่ 3 ติดต่อกันเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอินเดียที่เริ่มชะลอตัวลง ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินเดียถือเป็นธนาคารกลางที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากที่สุดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ของเอเชีย

Gold Corner


• ธนาคารกลางอินเดียสั่งห้ามธนาคารในประเทศซื้อทองคำจากต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและชะลอความต้องการทองคำภายในประเทศ โดยธนาคารกลางจะอนุญาตเป็นรายกรณีโดยคำนึงถึงความจำเป็นและเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการผลิตเครื่องประดับเท่านั้น ทั้งนี้ ปัจจุบันอินเดียถือเป็นประเทศที่มีการนำเข้าทองคำอันดับ 1 ของโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น