General News
------------------
• Jörg Asmussen สมาชิกผู้ทรงอิทธิพลจากเยอรมนีในคณะกรรมการบริหาร ECB กล่าวว่า “อัตราแลกเปลี่ยนจะมั่นคงถ้าคนไม่สงสัยในอนาคตของเงินสกุลนั้นๆ” เป็นการส่งสัญญาณสนับ สนุนแผน Bond Rescue ของ Mario Draghi ผู้เป็นประธาน ECB อย่างเต็มที่ โดยมองข้ามคำเตือนของประธานธนาคารกลางเยอรมนีที่ว่า “การหว่านเงินเข้าซื้อพันธบัตรของ ECB...จะก่อให้เกิดเงินท่วมระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก และเป็นการสนับสนุนการคลัง ECB อยู่เบื้องหลังที่ผิดต่อสนธิสัญญาของ EU”
• รมต.ก.พัฒนาเศรษฐกิจของอิตาลี กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจจะสิ้นสุดลงได้ขึ้นอยู่ความสามารถของรัฐบาลในการดำเนินการตามแผนรัดเข็มขัดและมาตรการกระตุ้นการเติบโต เนื่องจากปัญหาหลักของอิตาลีคือการขาดศักยภาพในการแข่งขันกับการขยายตัวด้านการผลิตที่เกิดขึ้นมายาวนาน และอัตราภาษีที่สูงก็ยังเป็นปัจจัยกดดันที่จะต้องได้รับการแก้ไข
• กลุ่มผู้ผลิตในเยอรมนี 1,900 แห่ง กำลังวางแผนเพิ่มการลงทุนในปีนี้ขึ้น 7% จากการลงทุน 4.4 หมื่นล้านยูโรในปีก่อน โดยจะลงทุนในสิ่งปลูกสร้างและสินค้าประเภทอุปกรณ์ต่างๆ แม้ว่าปัจจุบันเยอรมนีจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและวิกฤติยูโรโซนที่เพิ่มความไม่แน่นอน
• บริษัทในยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา 4% ในปี เนื่องจากเห็นว่าการวิจัยและพัฒนาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวของธุรกิจ แม้จะกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (Innovate or Die) โดยภาคบริการ คอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ ขยายตัวได้โดดเด่นเฉลี่ย 11%/ปี
• สมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษ (CBI) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.เป็น 0 จาก +11 ในเดือน ก.ค. เนื่องจากยอดสั่งซื้อล็อตใหม่ลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินค้าจากต่างประเทศทลดลง โดยยอดสั่งซื้อใหม่ในเดือน ส.ค.เป็น -21 ลดลงจากเดือน ก.ค.ที่เป็น -9 ถือเป็นตัวเลขต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2554
• คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการธนาคารของจีน (CBRC) แจ้งเตือนธนาคารพาณิชย์จีนให้ความระมัดระวังความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมียอดสินเชื่อในต่างประเทศสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน หรือ 6.35 แสนล้านดอลลาร์ โดยในเดือน มิ.ย.เงินสกุลหยวนแข็งค่าขึ้น 5% เมื่อเทียบกับยูโร จึงเสี่ยงต่อความไม่สมดุลของสินทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศ
• ยอดขายพลังงานในภาคอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ชะลอตัวลงในเดือน ก.ค. สู่ 2.3% จาก 2.8% ในเดือนก่อน โดยมีเหตุจากยอดส่งออกที่ลดลง 8.8% (ยอดขายไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมถือเป็นมาตรวัดสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมภาคอุตสาหกรรม)
• ดัชนีราคาผู้บริโภคอินเดียเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น 9.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และชะลอลงจาก 9.93% ในเดือนก่อน โดยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเกิดจากเงินรูปีอ่อนค่าและจากปริมาณน้ำฝนที่ลดลงจนส่งผลกระทบต่อสินค้าภาคการเกษตร ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ลดลงจากเดือนก่อนได้ช่วยลดความกดดันของธนาคารกลางอินเดียที่ได้ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่ผ่านมา
• ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกของไต้หวันเดือน ก.ค. ลดลง 1.2% เนื่องจากยอดสั่งซื้อของ จีน ญี่ปุ่น และ ยุโรป ซึ่งที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไต้หวันได้ลดลง โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ คำสั่งซื้อสินค้าส่งออกของไต้หวันลดลง 1.4% จากปีที่แล้ว
• ชาร์ป คอเปอเรชั่น กำลังพิจารณาปลดพนักงานอีกกว่า 3,000 คน ในโรงงานประกอบโทรทัศน์ในเม็กซิโกและจีน เนื่องจากต้องเผชิญกับความต้องการ โทรทัศน์ LCD ที่ซบเซา ทั้งนี้ บริษัทแจ้งว่ากำลังเตรียมแผนปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทเพื่อสร้างธุรกิจขึ้นใหม่อีกครั้ง และจะปรับปรุงสถานะทางการเงินของบริษัทด้วย
• กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.คลัง คาดว่า จีดีพีในปีนี้จะอยู่ที่ 7% ตามคาด แม้ในช่วงครึ่งแรกของปีจะเติบโตเพียง 2.2% โดยเชื่อว่าหากรัฐบาลเร่งใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงเพิ่มกำลังซื้อให้คนในประเทศได้แล้ว ก็จะทำให้จีดีพีเติบโตตามเป้าหมายได้ โดยส่งออกจะยังคงเติบโตได้ที่ระดับ 9%
• ครม.มีมติให้ขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอีก 1 เดือน ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. เพื่อลดภาระให้ประชาชน และมีมติเห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็น 6-8 บาท/ซอง สุราผสมเพิ่มเป็น 120 บาท/ลิตร สุราต่างประเทศเพิ่มเป็น 400 บาท/ลิตร เพื่อทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น และช่วยลดการบริโภคอันจะส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชน
• โตโยต้า เปิดเผยว่า ยอดขายรถทั้งระบบในเดือน ก.ค. มีปริมาณการขาย 131,646 คัน หรือ เพิ่มขึ้น 80.6% อันเป็นสถิติใหม่ของยอดการจำหน่ายรถยนต์ต่อเดือนในประเทศ โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐและความนิยมในรถยนต์รุ่นใหม่
Equity Market
------------------
• SET Index ปิดที่ 1,232.29 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด หรือ +0.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 27,540.65 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 77 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีมีการปรับเพิ่มขึ้นตามภูมิภาคและความคาดหวังว่า ECB จะออกมาตรการใหม่มาแก้ปัญหาวิกฤตยูโรโซน
• แอปเปิล กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในประวัติศาสตร์หลังราคาหุ้นปิดสูงกว่า 660 ดอลล่าร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดทำสถิติสูงสุดที่ 6.19 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2542 บ.ไมโครซอฟท์ เคยทำสถิติที่ 6.1889 แสนล้านดอลลาร์
• Bob Janjuah (Nomura) นักวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุดคนหนี่ง ชี้ว่า หุ้นจะถูกถล่มขายอย่างหนักในช่วงส.ค.ถึง พ.ย.นี้ โดย S&P500 จะตกลงไป 20%-25% จนอยู่ในระดับต่ำกว่าจุดต่ำสุดในปีก่อน เว้นแต่ S&P500 จะรักษาระดับดัชนีที่ไม่ต่ำกว่า 1,450 จุดเอาไว้ได้หลายสัปดาห์ โดยให้เหตุสนับสนุนหลักว่าผู้ลงทุนจะผิดหวังในการแถลงผลประชุม Federal Reserve ของ FED ที่ Jackson Hole ในสัปดาห์หน้าที่ กับผิดหวังที่ ECB ไม่สามารถทำตามสัญญาที่จะช่วยเหลือยุโรปได้
ซึ่ง Tom Lee (JP Morgan) มองดีกว่าบ้าง โดยระบุว่า S&P500 จะวิ่งขึ้นไปถึง 1,450 จุดก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.นี้ และจะลงมาอยู่ที่ 1,430 จุด ณ สิ้นปี
Fixed Income Market
----------------------------
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.01% ถึง 0.07% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาล อายุ 9 ปี มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท
Guru Corner
----------------
Marc Faber
---------------
ยุโรปกลายเป็นสังคมที่บางกลุ่มมีอภิสิทธิ์มากเกินไปจนเป็นผลลบอย่างใหญ่หลวงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมและต่อการริเริ่มสร้างสรรของภาคธุรกิจ ฯลฯ สหรัฐอเมริกาก็กำลังเป็นเช่นนั้น
ถ้าคุณเอาปืนมาจ่อหัวผมเพื่อให้ไปเลือก บารัค โอบามา หรือไม่ก็ มิตต์ รอมนีย์ เป็นประธานาธิบดี ผมจะขอร้องให้คุณลั่นไกเลย
2013 จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับหุ้น เรากำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของขาขึ้นที่ Mature แล้ว ไม่ได้อยู่ในช่วงแรกของตลาดกระทิง ถ้า S&P 500 ลดลงไป 150 จุด หรือลดลงไป 10% เราจะได้เห็น QE3 และ QE4
Nouriel Roubini
-------------------
สเปนจะต้องประกาศใช้แผนแก้ปัญหาที่รากฐานอันเข้มข้นได้แล้ว
สหภาพยุโรปจะคงอยู่ได้หรือไม่นั้นยังคงเป็นคำถามปลายเปิด แต่ถ้าหากการแตกสลายหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเลื่อนเวลาออกไปจะยิ่งทำให้ตอนอวสานเลวร้ายไปกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก
Peter Schiff
---------------
ในช่วงที่ผ่านมา 2-3 ชั่วอายุคน การดีเบตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาล้วนแต่โฟกัสไปที่เรื่องการทำงบประมาณภาครัฐให้สมดุล หลังจากนั้นอเมริกาก็ได้ประธานาธิบดีหลายคนที่นอกจากจะไม่เคยทำให้มันเป็นจริงแล้ว กลับยังมีแต่จะทำให้เลขตัวแดงของการขาดดุลเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การรับประกันสินค้าเกษตรของรัฐไม่เพียงแต่จะทำให้เราต้องจ่ายเงินซื้ออาหารที่แพงขึ้นในปีต่อๆ ไป ภาษีของเรายังจะถูกรัฐบาลเอาไปจ่ายให้เกษตรกรทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ผลิตอาหารให้เราด้วยซ้ำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น