General News
• S&P ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงสู่ “เชิงลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” โดยยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ CCC สะท้อนถึงความกังวลว่าเศรษฐกิจกรีซจะถดถอยรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ โดยอาจติดลบถึง 11% ประกอบกับความล่าช้าในการดำเนินมาตรการคุมเข้มงบประมาณ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่กรีซอาจจะต้องขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มากกว่าที่ประเมินไว้
• การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสเปนในเดือน มิ.ย.ลดลง 6.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ลดลง 6.5% ในเดือน พ.ค.และเป็นการปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันหลังจากที่เศรษฐกิจของสเปนเผชิญกับภาวะถดถอยที่รุนแรงมากขึ้นจากมาตรการรัดเข็มขัดของทางการ
• Fitch Ratings ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศและในประเทศ (IDR) ของเยอรมนีที่ระดับ AAA โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจของเยอรมนียังแข็งแกร่งและมีอัตราว่างงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม เยอรมนีจะยังคงได้รับผลกระทบจากวิกฤตยูโรโซน เนื่องจากประเทศคู่ค้าหลายประเทศต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงการที่เยอรมนีต้องจ่ายเงินสมทบในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อช่วยเหลือประเทศในกุล่มยูโรโซน
• สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ยอดส่งออกของเยอรมนีในเดือน มิ.ย. ลดลง 1.5% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 4.2% ในเดือน พ.ค. เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลให้ความต้องการนำเข้าของประเทศคู่ค้าในยูโรโซนลดลง (เยอรมนีส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มยูโรโซนคิดเป็น 40% ของยอดส่งออกทั้งหมด) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้ได้
• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน มิ.ย. ปรับตัวลง 0.9% โดยเป็นการลดลงทั้งทางด้านผลผลิตภาคการผลิต การผลิตสินค้าทุน และ กิจกรรมด้านการก่อสร้าง ซึ่งนักวิเคราะห์จาก ABN Ambro ได้ระบุไว้ว่า ขณะนี้วิกฤตเศรษฐกิจได้มาถึงเยอรมนีแล้ว ถึงแม้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีจะดีกว่าประเทศอื่นๆ ในยูโรโซน แต่วิกฤตที่เกิดขึ้นจะทำให้การใช้จ่ายทั้งภาคครัวเรือนและภาคเอกชนลดลง
• ธ.กลางอังกฤษ (BOE) ลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีต่อไปนี้ไปอยู่ที่ 2% จากเดิมที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 2.5% อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลว่าปัจจัยต่างๆที่ส่งผลลบต่ออังกฤษตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ภาวะตึงตัวของสินเชื่อและวิกฤตหนี้ยูโรโซนนั้น น่าจะคงอยู่นานกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้เล็กน้อยในระยะสั้น เนื่องมาจาก 1) เงินเฟ้อที่ลดลงซึ่งทำให้รายได้ที่แท้จริงของประชาชนเพิ่มขึ้น 2) ผลจากโครงการซื้อสินทรัพย์และโครงการให้ทุนเพื่อปล่อยกู้ของ ธ.กลางและรัฐบาล ซึ่งอาจส่งสัญญาณให้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
• ธ.กลางสหรัฐฯ รายงานว่า ยอดสินเชื่อผู้บริโภคสหรัฐฯในเดือน มิ.ย.ขยายตัว 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งสัญญาณเชิงบวกถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
• ก.แรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประสิทธิภาพการผลิต (ผลผลิตต่อชั่วโมงของแรงงาน) ใน ไตรมาส 2 ของปีนี้ขยายตัว 1.6% ขณะที่ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 1.7% ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
• ผลสำรวจรายสัปดาห์ของสมาคมธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐฯ ระบุว่า การยื่นขอสินเชื่อจำนองในรอบสัปดาห์ที่แล้วลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยสำหรับสัญญาจำนองระยะ 30 ปี อยู่ที่ 3.54% และระยะเวลา 15 ปี อยู่ที่ 3.08%
• สถาบันวิจัยยานยนต์แห่งเกาหลีใต้ (KARI) คาดว่า ในครึ่งหลังของปีนี้ การส่งออกรถของเกาหลีใต้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากตลาดรถยนต์ยุโรปที่ตกต่ำลงและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบต่อการส่งออกโดยรวมของประเทศ เนื่องจากการส่งออกรถยนต์คิดเป็น 13.3% ของการส่งออกทั้งหมดในช่วงครึ่งปีแรก
• ซิตี้กรุ๊ป และ CLSA ลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียในช่วงปีงบประมาณสิ้นสุดเดือน มี.ค. 2556 ลงมาอยู่ที่ระดับ 5.4% และ 5.5% ตามลำดับ เนื่องจากอินเดียต้องเผชิญกับปัญหาความแห้งแล้ง ประกอบกับยอดส่งออกและปริมาณการบริโภคภายในประเทศลดลง
นอกจากนั้นยังไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีการดำเนินทั้งมาตรการการเงินและการคลังเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจในช่วงนี้ ทั้งนี้ หากปัญหาภัยแล้งมีความรุนแรงมากก็อาจส่งผลให้ GDP ของอินเดียสามารถขยายตัวเพียง 4.9%
• ยอดส่งออกของมาเลเซียในเดือน มิ.ย. ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบรายปีมาอยู่ที่ระดับ 6.1 หมื่นล้านริงกิต อันเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากในเอเชีย โดยยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นมาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์น้ำมันปาล์มและเคมีภัณฑ์
• อัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 3.2% ปรับขึ้นจาก 2.8% ในเดือน มิ.ย. เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเภทสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ธ.กลางฟิลลิฟินส์ระบุว่าภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะอยู่ที่ 2.6 – 3.5%
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,214.13 จุด เพิ่มขึ้น 5.94 จุด หรือ 0.49% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38,234.75 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,629.68 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนี SET ปรับตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศโดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้า ซึ่งมีแรงซื้อนำในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และปิโตรเคมี
ทั้งนี้ คาดว่าช่วงนี้จะมีปัจจัยบวกจากความคาดหวังเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฝั่งสหรัฐและยุโรป รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
• ตลท. เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น 16.97% จากช่วงสิ้นปี 2554 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาครองจากเวียดนาม และฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังยังคงผันผวน จากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป ประกอบกับอีก 3 – 6 เดือนข้างหน้าก็จะมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองจากจีนและสหรัฐที่จะมีการเลือกตั้งเข้ามากระทบอีกด้วย
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลง -0.01% ถึง -0.03% โดยนักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิมูลค่า 13,568 ล้านบาท สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท. อายุ 14 วัน มูลค่า 40,000 ล้านบาท
• ธ.ดอยช์ แบงค์ ระบุว่าในเดือน ก.ค. นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อตราสารหนี้สกุลเงินในประเทศแถบเอเชียเป็นมูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ถือเป็นการเข้าซื้อมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี โดยในปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองพันธบัตรต่อมูลค่าพันธบัตรคงค้างทั้งหมดของมาเลเซีย 40% เกาหลีใต้ 16% อินโดนิเซีย 28% และไทย 14%
นอกจากนั้น การที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อพันธบัตรในเอเชียอย่างแข็งแกร่งในช่วงนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการแข็งค่าของสกุลเงิน ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนต้องการที่จะถือครองพันธบัตรของประเทศกลุ่มนี้ มากกว่าต้องการลงทุนในสกุลเงินเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น