จี้เอสเอ็มอีไทยปรับตัวหนีคู่แข่ง (ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์,
ประจำวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557) นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย
เปิดเผยภายในงานสัมมนา
เปิดผนึกเอสเอ็มอีไทยสู่การปฏิรูปอุตสาหกรรมในยุคเออีซี
จัดโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (สทท.) ว่า หากภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาโครงสร้างอะไรประเทศเพิ่มเติม
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า และเวียดนามจะพัฒนาขึ้นมาเทียบเท่าไทย
โดยเฉพาะพม่ากำลังเป็นที่จับตาเนื่องจากเพิ่งเปิดประเทศ
และยังมีแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์ สำหรับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย
จากการประเมินศักยภาพการแข่งขัน พบว่า ไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นอันดับต้น
ๆ ของเออีซี โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย
ควรร่วมกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ออกไปลงทุนและเน้นผลิตสินค้าป้อนให้รายใหญ่
เป็นลักษณะเชื่อมโยง เช่น ใช้เงินทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ออกไปลงทุน
และผลิตสินค้ากลับมาให้รายใหญ่เพราะศักยภาพของเอสเอ็มอีค่อนข้างมีจำกัด นอกจากนี้ ควรปรับตัวในการทำตลาดปรับปรุงโลจิสติกส์
และออกไปลงทุนใน ต่างประเทศที่มีความพร้อมในเรื่องวัตถุดิบทรัพยากร และแรงงาน
เพราะไทยมีต้นทุนด้านนี้สูง โดยอุตสาหกรรมที่ควรไปลงทุนในต่างประเทศคือ เสื้อผ้า
อาหาร เพราะประเทศเพื่อนบ้านมีความพร้อมในเรื่องทรัพยากรและต้นทุนต่ำกว่าไทย
อย่างไรก็ตาม ทางด้านน.ส.วิมลกานต์
โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
กล่าวว่า ปัญหาของเอสเอ็มอี
คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและอุตสาหกรรมมีการจัดตั้งในต่างประเทศแบบกระจัดกระจายต่างกับญี่ปุ่นที่มีแนวทางออกไปลงทุนผ่านการสนับสนุนของรัฐบาลใช้วิธีตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อให้นักลงทุนอยู่ร่วมกัน
และผลิตสินค้าป้อนระหว่างกัน ดังนั้นการที่เอสเอ็มอีไทยจะออกไปลงทุนได้ต้องพึ่งพาการสนับสนุนของภาครัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น