หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ข่าวเช้าจากบัวหลวง 26/10/55

General News
------------------



• รมว.คลังกรีซ กล่าวว่า กลุ่มเจ้าหนี้ต่างประเทศได้ยืดเวลาให้กรีซเพื่อบรรลุเป้าตามมาตรการรัดเข็มขัดแล้ว และจะเสนอมาตรการรัดเข็มขัดเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภากรีซในสัปดาห์หน้า ซึ่งขัดแย้งกับ มาริโอ ดรากี ประธาน ECB ที่ชี้ว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในประเด็นนี้

• ยอดปล่อยสินเชื่อธุรกิจในยูโรโซนเดือน ก.ย.ลดลง 1.4% และลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงทำให้ความต้องการสินเชื่อลดลง รวมทั้งสถาบันการเงินในยูโรโซนได้ชะลอการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตหนี้ยุโรปที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของธนาคาร

• ECB ระบุว่า ผู้บริโภคและบริษัทต่างๆ เริ่มนำเงินเข้าฝากใน ธ.สเปนและกรีซหลังจากแห่ถอนเงินก่อนหน้านี้เนื่องจากวิตกเรื่องฐานะการคลังของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน ก.ย. เงินฝากใน ธ.สเปนเพิ่มสู่ 1.505 ล้านล้านยูโร จาก 1.492 ล้านล้านยูโร และธ.กรีซเพิ่มขึ้นสู่ 1.601 แสนล้านยูโร จาก 1.587 แสนล้านยูโรในเดือนก่อนหน้า

• GDP อังกฤษใน Q3/12 ขยายตัว 1% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.6% และอาจถือเป็นการสิ้นสุดภาวะถดถอยที่ดำเนินมา 9 เดือนก่อนหน้านี้ โดยเป็นผลจากโอลิมปิกซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ

• ธ.กลางนิวซีแลนด์ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วยชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์นิวซีแลนด์อาจกดดันภาคส่งออกซึ่งมีสัดส่วน 30% ของมูลค่าเศรษฐกิจได้ แต่เป็นผลดีต่อภาคการนำเข้าเพราะทำให้ต้นทุนลดลง

• ฟอร์ดมอเตอร์ เตรียมปิดโรงประกอบรถยนต์ในยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยจะปลดพนักงานเกือบ 4,900 ตำแหน่ง เพื่อชดเชยผลขาดทุนในปีนี้ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากวิกฤตหนี้ยุโรปกดดันให้ยอดขายรถยนต์ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 19 ปี

• FED รายงานว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวปานกลางขณะที่อัตราว่างงานยังคงลดลง และการใช้จ่ายของภาคครัวเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย โดยจะยังใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณจนกว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จะยังคงสว็อบตราสารหนี้ระยะสั้นวงเงิน 45 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนด้วยตราสารหนี้ระยะยาวต่อไปจนถึงเดือน ธ.ค.นี้

• ยอดคำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าคงทนสหรัฐเพิ่มขึ้น 9.9% ในเดือน ก.ย. หลังจากร่วงหนักสุดในรอบกว่า 3 ปีในเดือน ส.ค. บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลจากยอดสั่งซื้อยานยนต์และเครื่องบินที่ไม่ใช่ของทหารที่เพิ่มขึ้นถึง 31.7%

• ธ.กลางญี่ปุ่น อาจผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากวิตกว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะหยุดชะงักจนส่งผลให้ไม่หลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดซึ่งเรื้อรังมานานได้ โดยอาจขยายขนาดของโครงการซื้อสินทรัพย์อีก 10 ล้านล้านเยน เป็นวงเงินรวม 90 ล้านล้านเยน

• จีน คาดว่า การส่งออกจะขยายตัว 6%-7% ในปีนี้ และต่ำกว่า 10% ในปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนความตึงเครียดทางการค้าและการกีดกันทางการค้าจะไม่ใช่ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากกระทบการส่งออกทั้งหมดของจีนเพียง 5%

• สิงคโปร์แอร์ไลน์ส ใช้งบประมาณ 7.5 พันล้านดอลล์ ซื้อแอร์บัส 25 ลำ มารองรับความต้องการในอุตสาหกรรมการบินที่อยู่ในระดับสูงขณะนี้ โดยจะให้บริการในเส้นทางบินสิงคโปร์-ลอสแองเจลิส และ สิงคโปร์-นิวยอร์ก โดยไม่มีการจอดระหว่างทาง ซึ่งในจำนวนนี้มีแอร์บัส A380 รวมอยู่ด้วย 5 ลำ และคาดว่าการส่งมอบเครื่องบินจะมีขึ้นตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไป

• คาร์ไลล์ กรุ๊ป ลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้ง หลังจากซื้อหุ้น 25% ใน พีที โซลูซี ทูนัส ปราตามา ทีบีเค (STP) ผู้ประกอบการเสาส่งสัญญาณระบบโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับ 4 ของอินโดนีเซีย ด้วยวงเงิน 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตอกย้ำแนวโน้มที่กองทุนเพื่อการลงทุนในบริษัทนอกตลาดฯ (Private Equity Fund) ระดับโลกกำลังตั้งเป้าการลงทุนในอินโดนีเซีย

• ฟิลิปปินส์ เตรียมขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่และสุราเพื่อเพิ่มรายได้ภาครัฐและเพื่อให้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับน่าลงทุน หลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P, Moody’s และ Fitch Ratings ระบุว่า การขึ้นภาษีสรรพสามิตจะเป็นผลดีต่อการได้รับอันดับความน่าเชื่อถือ

• องค์การการค้าโลก (WTO) เตรียมรับลาวเข้าเป็นสมาชิก ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สำคัญในการลดอัตราความยากจน หลังจากลาวทำการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องหลายปีเพื่อสร้างเศรษฐกิจสมัยใหม่ และมีส่วนร่วมในการขยายตัวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ผู้ผลิตทั่วโลกกำลังมองหาฐานการผลิตต้นทุนต่ำมาแทนที่ประเทศจีน

• เป๊ปซี่ ประกาศแผนลงทุน 1.84 หมื่นล้านบาทในไทยตั้งแต่             2555-2558       เพื่อสร้างความแข็ง แกร่งและการเติบโตในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การผลิตและการกระจายสินค้า กิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างกระแสความนิยมและรักษาตำแหน่ง “แบรนด์ในดวงใจ” ของผู้บริโภค รวมทั้งการจ้างงานและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

• ธปท.อนุมัติให้นำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลอินโดนีเซีย โดย เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 182.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 12 ต.ค.55

• สศอ. รายงานว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ก.ย. ลดลง 13.68% ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ส่วน 9 เดือนแรกติดลบ 6.3% แต่มั่นใจว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ 5-6% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้ครั้งก่อนที่ 6%-7% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะชะลอจากปีนี้มาอยู่ที่ 3.5%-4.5% โดยปัจจัยที่ฉุดรั้งคือการชะลอตัวของ ศก.ประเทศคู่ค้า-การฟื้นตัวที่ล่าช้าของบางอุตสาหกรรม

Equity Market
-----------------



• SET Index ปิดที่ 1,297.39 จุด เพิ่มขึ้น 2.39 จุด หรือ 0.18% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 32,487 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,848 ล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกรอบแคบ ๆ ในช่วงบ่าย เนื่องจาก 1 - 2 วันที่ผ่านมา ดัชนีฯได้ปรับลดลงแรง ทำให้มีการปรับฐานระหว่างวัน สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยของ ธปท.และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือน ต.ค. ของสหรัฐ

• เกาหลีใต้ เตรียมพิจารณาจำกัดการทำชอร์ตเซลหุ้น หลังมูลค่าการทำชอร์ตเซลทั้งหมดในหุ้นเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นสู่ 5.6 ล้านล้านวอน (5.1 พันล้านดอลลาร์) และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติทำชอตเซลมากที่สุด เนื่องจากตลาดหุ้นย่ำแย่ในเดือน ก.ย.

Fixed Income Market
--------------------------



• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.01% ถึง + 0.02% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท. อายุ 14 วัน และ 3 ปี วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท

Guru Corner
---------------



• Marc Faber

ผมไม่คิดว่าหุ้นในสหรัฐจะแรลลี่ขึ้นช่วงปลายปี ที่จริงมันขึ้นไปสูงสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนไปแล้ว และขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงขาลงอยู่ ผมเชื่อว่าทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาเดียวกันคือการโตช้าและผลกำไรบริษัทต่างๆ ที่น่าผิดหวัง ผมจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าจะได้เห็นดัชนีตลาด Dow Jones กับ S&P และตลาดหลักๆ ในโลกลดลงจากนี้ไปสัก 20% แล้ว 20% นี่ก็ไม่ใช่การลดลงไปมากเท่าไรด้วย

ผมคิดว่าจะมีการเทขายอย่างหนักภายในไม่เกิน 10 วันถึงสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ ซึ่งถ้าเกิดแบบนั้นจริงช่วงปลายปีก็อาจมีคนเข้าซื้อจนเกิดแรลลี่ขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีทางทำ New High และผู้ลงทุนควรออกห่างจากตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะมันพุ่งขึ้นเกินตลาดยุโรปและเอเชียไปแล้ว
ตลาดหุ้น Greece, Italy, Spain, France และ Portugal ใน 4 เดือนที่แล้วดิ่งลงไปเท่าระดับในปี 2009 หรือต่ำกว่า ผมเลยซื้อหุ้นในตลาดเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมาเพราะราคาหุ้นมันถูกลงไปมากแล้วเท่านั้นเอง หลังจากนั้นหุ้นในกรีซก็เพิ่มขึ้นมาได้ 65% แต่ผมจะไม่ซื้อหุ้นยุโรปอีกแล้วในขณะนี้ เพราะผมคิดว่าจะเกิดการปรับตัวลงแต่ยังไม่ถึงกับ New Low

เมื่อย้อนดูตลาดหุ้นในเอเชีย เราจะพบว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นมาได้ 250% จากจุดต่ำในปี 2009 ตลาดอื่นๆ อย่าง Philippines, Indonesia, Malaysia และ Singapore ก็เหมือนกัน แต่หากไปดูตลาดหุ้นจีนกลับพบว่าดัชนีลงไปลึกจาก 6,000 จุดในปี 2007 จนมาอยู่ที่ 2,000 จุดในปัจจุบัน ผมเลยคิดว่าหุ้นจีนกับญี่ปุ่นอาจจะมีการรีบาวด์ขึ้นมาได้ในจุดนี้ ก็ขนาดกรีซยังเด้งกลับมาได้ตั้ง 65% ทำไมขยะกองมหึมานี้จะดีขึ้นสัก 65% ไม่ได้ล่ะ

หลายคนเชื่อกันว่าเมื่อพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนดีก็เลยพุ่งเข้าใส่ แต่ผมไม่สนใจว่าใครจะทำอย่างไร เพราะผมเชื่อว่าพันธบัตรรัฐบาลมีความเสี่ยงสูง ผมจึงจะไม่ลงทุน แต่อาจยกเว้นในประเทศแถบเอเชีย เพราะประเทศเหล่านี้มีวินัยทางการคลังที่ดีกว่า ในภาวะที่เงินท่วมโลกอย่างนี้ ลงทุนในหุ้นดีกว่าลงทุนในพันธบัตร

ผมไม่ชอบทั้ง Obama และ Romney ถึงขนาดที่ว่าถ้าใครเอาปืนมาจ่อหัวบังคับให้ผมเลือกลง คะแนนให้ใครคนใดคนหนึ่งนี้ ผมจะบอกให้เขาลั่นไกเลย เพราะ Obama ก็ใช้งบประมาณประเทศจำนวนมหาศาลไปซื้อคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยการใช้ประชานิยมทุกชนิดที่คิดได้ จนเดี๋ยวนี้ครอบ ครัวอเมริกันเกือบครี่งมีสมาชิก 1 คน ที่อยู่ได้เพราะรัฐบาลอุ้มชูผ่านแสตมป์อาหาร หรือประกันสังคม หรืออะไรที่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ และ Romney ก็จะซื้อเสียงแบบเดียวกัน แต่ไปเน้นที่งบประมาณทางการทหารมากกว่าด้านสังคม

นักการเมืองจะพยายามรักษาระบบให้คงอยู่แบบนี้ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผลก็คือจะไม่มี Fiscal Cliff เพราะมันจะหนักกว่านั้นจนเป็น Fiscal Grand Canyon

เรามี 2 ทางเลือกหากจะเปลี่ยนแปลงระบบอย่างสันติ คือ ปฏิรูปบางส่วน หรือ ปฏิวัติทั้งหมด ผมเชื่อว่าโลกตะวันตกภายใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้านี้มันจะยุ่งเหยิงอย่างมหาศาลในทุกแห่ง และไม่ว่าใครจะได้นั่งในทำเนียบขาว สหรัฐก็จะขาดดุลงบประมาณสูงกว่าล้านล้านดอลลาร์ต่อปีไปชั่วกาลนาน

ปัญหาของวิกฤตินี้คืออะไรล่ะ มันก็คือการเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว

การก่อหนี้เพิ่มอีกมันจะไปแก้ปัญหาได้อย่างไร ผมไม่เชื่อเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินและการคลังแบบนี้ เพราะมันอาจมีผลข้างเคียงกับพาเราไปถึงจุดจบที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็น และไม่เคยมีผลพิสูจน์เลยว่าการโยนเงินใส่ระบบเพื่อแก้ไขแล้วมันจะแก้ปัญหาอะไรได้ ไม่มีข้อพิสูจน์เลยว่าการเพิ่มรายจ่ายให้รัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างแท้จริง

ผมถึงบอกว่ายาที่จะได้ผลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐคือการลดงบประมาณใช้จ่ายภาครัฐลงสัก 50%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น