General News
-----------------
• IMF ลดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิม มาอยู่ที่ 3.3% และ 3.6% ตามลำดับ เนื่องจากการขยายตัวในระดับต่ำของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะทำให้การส่งออกของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ชะลอตัวลง
• รมว.คลังยูโรโซนเปิดดำเนินการกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) สำหรับให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินทางด้านการเงินแก่ประเทศสมาชิกเป็นการถาวร ภายใต้วงเงิน 5 แสนล้านยูโร เพื่อเป็นหลักประกันเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวของยูโรโซน
• กองทุน ESM ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “Aaa” ด้วยมุมมอง “เชิงลบ” จาก Moody’s และ “AAA” ด้วยมุมมอง “มีเสถียรภาพ” จาก Fitch Ratings ซึ่งสะท้อนถึง
1.) การมีนโยบายบริหารเงินทุนและสภาพคล่องด้วยระบบการเตือนล่วงหน้า (Early Warning System) ที่สามารถเรียกเงินทุนเพิ่มจากประเทศสมาชิกได้ทันท่วงที
2.) การมีหนี้สินอยู่ในระดับต่ำ
3.) ความน่าเชื่อถือของประเทศที่ร่วมก่อตั้ง
4.) การมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ไม่ด้อยสิทธิ (ได้รับชำระเงินคืนก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ หากลูกหนี้ล้มละลาย)
• ยอดขาดดุลงบประมาณของฝรั่งเศสใน 8 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 9.77 หมื่นล้านยูโร ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ขาดดุล 1.028 แสนล้านยูโร เนื่องจากรายได้ภาษีที่มากขึ้น และรายได้พิเศษจากการขายคลื่นความถี่สื่อสาร ได้เข้ามาช่วยชดเชยการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย
• ยอดขาดดุลงบประมาณของอิตาลีในไตรมาส 2 ปีนี้ลดลงมาอยู่ 2.8% ของ GDP จาก 3.2% ในช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นจากมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐ
• ธ.กลางอิตาลี เปิดเผยว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อของ ธ.พาณิชย์อิตาลี ในเดือน ส.ค. ลดลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ถึงแม้ว่าปริมาณเงินฝากจะเพิ่มขึ้น 3.5% ก็ตาม เนื่องจาก ธ.พาณิชย์นำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีแทนที่จะนำมาปล่อยกู้ให้ภาคธุรกิจ ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะสินเชื่อตึงตัวของอิตาลียังคงอยู่ในระดับรุนแรง
• Moody’s ลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลไซปรัสจากเดิม “Ba3” สู่ “B3” ด้วยมุมมองเชิงลบ เนื่องจากความอ่อนแอของภาคธนาคารพาณิชย์อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ และการเข้าไปช่วยเหลือจะยิ่งทำให้ภาระการเงินของรัฐสูงขึ้นจนอาจขาดเสถียรภาพได้
• สนง. สถิติแห่งชาติอังกฤษ เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคการผลิตในเดือน ส.ค. ลดลง 1.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และ 1.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมลดลง 0.5% จากเดือน ก.ค. ทำให้เศรษฐกิจอังกฤษจะฟื้นตัวจากภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีหลังได้ยากขึ้น
• ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของออสเตรเลียในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นสู่ 0 จาก -3 ในเดือน ส.ค. แต่สถานการณ์โดยรวมยังคงซบเซา อันเนื่องมาจากความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ร่วงลง
• ธ.กลางจีน อัดฉีดเงิน 2.65 แสนล้านหยวนเข้าสู่ตลาด ผ่านธุรกรรมการซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน เพื่อช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติการณ์
• ดัชนีความเชื่อมั่นภาคบริการของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย. ลดลงสู่ 41.2 จาก 43.6 ในเดือน ส.ค. เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
• IMF คาดว่า เศรษฐกิจอินเดียปีนี้จะขยายตัว 4.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี หลังจากการลงทุนหยุดชะงัก และมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง พร้อมกับแนะนำให้ ธ.กลางอินเดียคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง นอกจากนั้น รัฐบาลควรเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคธุรกิจ
• สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า อิรักได้ตกลงซื้อขายอาวุธจากรัสเซียเป็นมูลค่ามากกว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างการเยือนรัสเซียของ รมว.กลาโหมของอิรัก
• ดัชนีอสังหาริมทรัพย์ย่างกุ้ง ที่จัดทำโดย ซิลค์ โรด ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 39% โดยที่ดิน 1 ตารางฟุตมีราคา 65 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าห้องพักในโรงแรมก็เพิ่มขึ้นถึง 65%
อนึ่ง การที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ของพม่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ มาจากการเก็งกำไรประกอบกับการที่นักลงทุนต่างประเทศกำลังมองหาที่ตั้งสำนักงานและโรงงาน ในช่วงที่พม่ากำลังมีความก้าวหน้าในการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ
• ครม. อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 ในวงเงิน 1.92 ล้านล้านบาท โดยจะมีการก่อหนี้ใหม่ 9.59 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้จากแหล่งเงินกู้ในประเทศ 85% และต่างประเทศ 15% ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สาธารณะของไทยมีสัดส่วน 47.5% ต่อ GDP ต่ำกว่ากรอบที่กำหนดไว้ที่ 60%
Equity Market
-----------------
• SET Index ปิดที่ 1,292.48 จุด ลดลง 12.23 จุด หรือ -0.94 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 40,065.40 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 425.79 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน โดยช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก แต่ในช่วงบ่ายกลับมีแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่ม หลัก เช่น พลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และอาหาร ซึ่งเป็นผลจากความกังวลในกรณีที่ IMF ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้า
Fixed Income Market
--------------------------
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอยู่ในช่วงระหว่าง -0.03% ถึง 0.00% โดยเป็นการปรับตัวลงในตราสารระยะกลางจากการแรงซื้อของสถาบันภายในประเทศและธ.พาณิชย์เป็นหลัก สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูลพันธบัตร
Guru Corner
---------------
•Paul Krugman
------------------
“เป็นเรื่องไร้สาระที่จะคิดว่ารายงานตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่ออกมาดีเกินคาดนั้นมาจากการปรับแต่งตัวเลข เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นโดยข้าราชการที่มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งสังกัดอยู่ในหน่วยงานที่ไม่มีการเมืองมาเกี่ยวข้อง
นอกจากนั้น เราไม่ควรให้ความสนใจกับตัวเลขเพียงแค่เดือนเดียวมากเกินไป เพราะประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่าก็คืออัตราว่างงานที่มีแนวโน้มลดลงอย่างยั่งยืน ซึ่งหากพิจารณาแนวโน้มในช่วงปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการสร้างงานเติบโตแซงหน้าการขยายตัวของประชากรวัยทำงาน”
•Bill Gross (PIMCO)
------------------------
“ถ้าคนอเมริกันเอาแต่หลับหูหลับตาไม่สนใจการขาดดุลงบประมาณถึง 8% ของ GDP (ซึ่งถ้ารวมเงินที่รัฐบาลต้องส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ประกันสุขภาพ และการรักษาพยาบาลก็จะพุ่งขึ้นเป็น 11% ของ GDP) ก่อนจะสิ้นทศวรรษนี้เราจะได้เห็นอเมริกาเป็นอย่างกรีซ เพราะอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP จะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วธนาคารกลางก็จะพิมพ์เงินมาอุดงบประมาณที่ขาดดุลอีกไม่รู้จบ ทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อเมริกันจะดิ่งลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศที่อยู่ในเขตวงแหวนไฟ (Ring of Fire ได้แก่ ประเทศพัฒนาแล้ว 6 แห่งที่ขาดดุลงบประมาณและดุลการค้าสูงมาก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส กรีซ และ สเปน) จะเผชิญกับภาวะที่ Financial Assets อย่างพันธบัตรและหุ้นจะไร้ค่า เหลือแต่ทองคำกับ Real Assets เท่านั้นที่จะมีราคาพุ่งขึ้น
ถ้าผมเป็นผู้ลงทุนรายย่อยก็จะกระจายการลงทุนในในสินทรัพย์ต่างๆ ประเภทให้เหมาะ สมกับอายุ ซึ่งได้แก่ถือหุ้นมากหน่อยถ้าอายุน้อยๆ และถือพันธบัตรมากๆ ถ้ามีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปอย่างผม และต้องระมัดระวังเพราะมันหมดยุคของการได้ผลตอบแทนดีๆ เป็นสองหลักจากการลงทุนไปแล้ว ยุคแห่งเงินเฟ้อกำลังมาหาเรา ซึ่งมีแต่ผลเสียต่อหุ้นและพันธบัตร”
•Jim Rogers
---------------
“ราคาอาหารจะเพิ่มขึ้นสูงกว่านี้อีกมากใน 2-3 ปีข้างหน้า และเมื่อใดก็ตามที่ราคาอาหารพุ่งขึ้นสูง สิ่งที่ตามมาคือความไม่สงบของสังคม พวกทุนนิยมต่างรู้ดีว่าปัญหาของประเทศมาจากรากฐานทางเศรษฐกิจทั้งนั้น แม้จะถกเถียงกันว่ามาจากเรื่องความขัดแย้งทางศาสนาและเชื้อชาติ“
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น